ในวาระฉลองครบรอบ 30 ปีเมื่อปี 2006 ด้วยการเปลี่ยนการออกแบบตัวเรือน Nautilus ให้มีส่วนประกอบจากตัวเรือน 2 ส่วน (ขอบเบเซิลและตัวเรือนส่วนกลาง) ซึ่งจะรวมเป็นโครงสร้างสามชิ้นถ้ารวมฝาหลัง และกรุกระจกแซฟไฟร์เพื่อให้เห็นกลไกอันงดงาม
.
ซึ่งรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเรือนนี้ทาง Patek Philippe ได้นำรุ่นต้นตระกูล 3700 มาต่อยอดออกมาเป็นรุ่น Ref. 5711/1A ในปัจจุบัน
Patek Philippe Ref. 5711/1A มาพร้อมตัวเรือนวัสดุ Stainless Steel ขนาด 40 MM. และ Caliber 26-3300 SC
.
สำหรับนาฬิการุ่นนี้ ตัวเรือนถูกออกแบบมาอย่างลงตัว เรียบหรู มีขนาดที่บาง แนบเข้ากับข้อมือผู้สวมใส่ จึงทำให้ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน
ประวัตินาฬิกา Bvlgari
Bvlgari มนต์เสน่ห์แห่งเวลา
Bvlgari สืบทอดผ่านตระกูลเก่าแก่ในประเทศกรีก โดย โซเทริโอ (Sotirio) ช่างทำเครื่องเงินฝีมือเยี่ยม ผู้เริ่มต้นสร้างผลงานศิลปะชิ้นสวยภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ราวกลางศตวรรษที่ 19 และได้รับการสานต่อจากลูกชายคือ คอสแทนทิโน (Costantino) และ จิออร์จิโอ (Giorgio) เปิดร้านแห่งใหม่ที่ Via Condotti ถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโรม เมื่อปี 1905 ซึ่งปัจจุบันก็คือ Bvlgari Flagship Store แห่งแรก พร้อมกับขยายไลน์สินค้าจากเครื่องเงิน สู่ผลิตเครื่องประดับจากอัญมณีและเพชรน้ำงาม เครื่องหนัง ภายใต้ชื่อ Bvlgari Holding Company S.p.A.
ความจริง Bvlgari เริ่มผลิตนาฬิกามาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920’s ก่อนที่เครื่องประดับชั้นสูงของแบรนด์ได้รับการประดิษฐ์สู่ตลาด แต่เป็นในแบบ เครื่องประดับที่บอกเวลาได้ จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980’s Bvlgari ตั้งโรงงานนาฬิกาแห่งแรกตั้งขึ้นในเมือง Neuchatel ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ออกแบบ สร้างสรรค์ พัฒนาและผลิตนาฬิกาภายใต้ชื่อแบรนด์ Bvlgari ในปี 1993 ก็ได้ขยายตลาดนาฬิกาผ่านตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาที่มีชื่อเสียงของโลก
สำหรับปีนี้ Bvlgari สะท้อนความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบอีกครั้ง ด้วยการนำความเด่นแต่ละจุดของคอลเลกชั่นที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์อย่างความคลาสสิกของ ‘บุลการี-บุลการี’ (Bvlgari-Bvlgari) ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1977, ‘เรทแทงโกโล’ (Rettangolo) ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2000 และคอลเลกชั่น ‘เออร์กอน’ (Ergon) กับเอกลักษณ์ความโค้งของตัวเรือน ทั้ง 3 คอลเลกชั่นนำมาออกแบบใหม่กลายเป็นผลงานศิลป์แห่งเวลาคอลเลกชั่นใหม่ของปี 2005 กับ ‘แอสซิโอมา’ (Assioma) พร้อมกับการออกแบบให้มีความหลากหลาย ตอบสนองทุกสไตล์การใช้ชีวิต ทั้งหรูหราและสปอร์ต เรียบง่ายและทันสมัย มีให้เลือกถึง 20 รุ่นใน 4 ขนาด และวัสดุหลากหลายของตัวเรือน ทั้งสเตนเลสสตีล, ทอง 18K ทองขาว 18K ประดับเพชรน้ำงาม หรือไม่ประดับเพชร
ประวัตินาฬิกา BUCHERER
CARL F. BUCHERER อมตะแห่งกาลเวลา
คาร์ล เอฟ. บุคเคอเรอร์ (Carl F. Bucherer) แบรนด์เครื่องบอกเวลาค่ายอิสระที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี รังสรรค์เครื่องบอกเวลาคุณภาพสูงด้วยความประณีตและเปี่ยมคุณภาพ ก่อตั้งโดยนักธุรกิจและนักพัฒนาอุตสาหกรรม คาร์ล-เฟรดริก บุคเคอเลอร์ (Carl-Friedrich Bucherer) เมื่อปี ค.ศ. 1888 จากขายนาฬิกาและอัญมณีแห่งแรกที่เมืองลูเซิร์น (Lucerne)
ต่อมาเขาก็ได้กำลังของลูกชาย 2 คนคือ คาร์ล เอดูอาร์ด บุคเคอเรอร์ (Carl Eduard Bucherer) ที่ร่ำเรียนด้านช่างทองจากลอนดอน ประเทศอังกฤษ และ แอร์สต์ (Ernst) ลูกชายที่เลือกเรียนด้านประดิษฐ์นาฬิกาใน แซงต์ เอมีร์ (St. Imier) มาช่วยกันสานต่อธุรกิจ และสร้างความสำเร็จอย่างสูงด้วยการขยายสาขาตัวแทนจำหน่ายไปทั่วสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังนำศิลปะที่ได้รับการถ่ายทอดจากบิดา สร้างสรรค์ เรือนเวลาประดับอัญมณีสวยหรู ซึ่งทำให้แบรนด์ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักประดิษฐ์นาฬิกาของราชสำนักเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1915
ความสำเร็จยังส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และสร้างชื่อเสียงให้กับเครื่องบอกเวลาแบรนด์ Carl F. Bucherer อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับปีนี้ Carl F. Bucherer นำเรือนเวลาสวยจากอดีตหวนกลับมาอีกครั้งในคอลเลกชั่นล่าสุด ‘ทริบิวต์ ทู มิมิ’ (Tribute to Mimi) ตัวแทนความรักอมตะที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของ Carl Eduard Bucherer ที่มีต่อภรรยาสาวสวย มิมี่ บุคเคอเรอร์-ฮีบ (Mimi Bucherer-Heeb) มรดกศิลป์จากอดีต หวนกลับมาย้อนรำลึกถึง Mimi Bucherer-Heep อีกครั้งในปีนี้กับคอลเลกชั่น ‘Tribute to Mimi’ ความงามย้อนยุคของเครื่องบอกเวลาชั้นสูง โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ของศิลปะแห่ง อาร์ต เดโค (Art Deco) ยังคงรักษาดีไซน์ตามแบบฉบับนาฬิกาเรือนงามที่ Carl Eduard Bucherer ออกแบบเป็นพิเศษแทนความรักที่มอบให้กับภรรยาหมดทั้งหัวใจ สะท้อนผ่านความงามสะดุดตาเพื่อสื่อความรักนิรันดร์
Carl Eduard Bucherer และ Ernst
นอกเหนือจากรุ่นพิเศษที่รังสรรค์ย้อนยุคแล้ว แบรนด์ Carl F. Bucherer ยังพัฒนาเสน่ห์เร้นลับของคอลเลกชั่น อลาเครีย ดีวา (Alacria Diva) ปรับโฉมพื้นหน้าปัดใหม่ดีไซน์เฉียบ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของคอลเลกชั่นในตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ออกแบบขอบข้างตัวเรือนเป็นเว้าโค้งรับกระชับข้อมือ ใน 2 ความงามใหม่กับการประดับแซพไฟร์สีน้ำเงินรับกับสายหนังสีน้ำเงิน และประดับแซพไฟร์สีส้ม รับกับสายหนังสีน้ำตาลอมส้ม ทำงานด้วยกลไกสวิสควอตซ์
ส่วนคอลเลกชั่นเด่นของแบรนด์ Carl F. Bucherer อย่าง พัธราวี (Patravi) ที่ผสมผสานความงามร่วมสมัยของรูปลักษณ์ภายนอกเข้ากับความยอดเยี่ยมของกลไกการทำงานขั้นสูง ได้รับการพัฒนาและสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความหลากหลายให้กับคอลเลกชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้รักเครื่องบอกเวลาที่เปี่ยมคุณภาพและงามด้วยดีไซน์
สำหรับ ในปีนี้ สานต่อความสำเร็จจากปีที่แล้ว กับหลากรุ่น ในคอลเลกชั่น Patravi ปรับความสง่าให้สูงค่า ไม่ว่าจะเป็นรุ่น พัธราวี ตอนโนกราฟ (Patravi Tonneaugraph), พัธราวี ตอนโน (Patravi Tonneau), พัธราวี พาวเวอร์ รีเซิร์ฟ (Patravi Power Reserve), พัธตาวี โครโนกราฟ จีเอ็มที (Patravi Chronograph GMT) และ พัธราวี โครโนกราฟ บิ๊ก เดท (Patravi Chronograph Big Date)
ทุกรุ่นทุกเรือนมาพร้อมความงาม ความประณีต และเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ อันเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Carl F. Bucherer ที่สืบทอดกันมาอย่างเหนียวแน่นและไม่เคยเลือนหายไป
ประวัตินาฬิกา Breitling
ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อเมือง แซง เอเมียร์ (St. Imier) ใกล้เทือกเขาจูร่า (Jura)เซอร์แลนด์ ลีออง ไบร์ทลิ่ง (Leon Breitling) ริเริ่มโรงงานผลิตนาฬิกาขึ้นมาด้วยเป้าหมายเพียงประการเดียวคือ สร้างสรรค์นาฬิกาจับเวลาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมของโลก
ก้าวสู่โลกแห่งการบิน
ในปี ค.ศ. 1884 ช่วงเวลาที่ Leon Breitling เริ่มประดิษฐ์นาฬิกาจับเวลาภายใต้ชื่อแบรนด์ ‘ไบร์ทลิ่ง’ (Breitling) เป็นช่วงเดียวกับการพัฒนาอากาศยาน ดังนั้น อุปกรณ์จับเวลาที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้น จึงถูกนำไปใช้กับเครื่องบินแบบต่างๆ และด้วยคุณภาพที่เป็นเลิศ ทำให้เครื่องมือจับเวลาของ Breitling ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนโรงงานผลิตนาฬิกาเล็กๆ ของผู้ก่อตั้งต้องขยายกิจการและย้ายไปยัง ลา โชซ์-เดอ-ฟองด์ (La Chaux-de-Fonds) อันเป็นศูนย์กลางการผลิตนาฬิกาชื่อดังของโลก
นาฬิกาจับเวลาของ Breitling ได้รับการพัฒนาต่อมาในปี ค.ศ. 1915 โดย แกสตัน ไบร์ทลิ่ง (Gaston Breitling) จนกลายเป็นนาฬิกาข้อมือแบบจับเวลาที่แม่นยำ ในขณะเดียวกันก็ยังคงพัฒนาอุปกรณ์คำนวณและจับเวลาสำหรับติดตั้งบนเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการขนานนามในฐานะผู้ชำนาญด้านอุปกรณ์จับเวลาและนาฬิกาสำหรับนักบิน ต่อมาในปี ค.ศ. 1932 แบรนด์ Breitling ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินอย่างเต็มตัว โดย วิลลี ไบร์ทลิ่ง (Willy Breitling) ทำให้ชื่อแบรนด์ Breitling กลายเป็นชื่อที่มีความผูกพันยิ่งกับกองทัพอากาศ นักบิน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานทั่วโลก ทั้งยังกลายเป็นนาฬิกาประจำตัวนักบินของฝูงบินชื่อดังของโลก เช่น ทันเดอร์เบิร์ด (Thunderbird) ของสหรัฐฯ, เรด แอร์โรวส์ (Red Arrows) ของสหราชอาณาจักร, ปาตรูอีเยอ เดอ แฟรนซ์ (Patrouille De France) หรือกองลาดตระเวณของฝรั่งเศส และ ฟรีซ ไตรโคโลรี (Freece Tricolori) ของอิตาลี
จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและรูปแบบของ Breitling ที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงการการบินและการกีฬามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยประสบการณ์นานนับศตวรรษ Breitling ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีมาโดยตลอด ครองความเป็นเจ้านาฬิการะบบจักรกลที่สามารถเดินได้อย่างเที่ยงตรงจนถึงระดับโครโนมิเตอร์ ดังนั้น Breitling จึงกลายเป็นนาฬิกาสำคัญระดับโลกรายเดียวที่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองความเที่ยงตรงในนาฬิกาทุกรุ่นของตนเอง และยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาที่ยังคงเป็นของชาวสวิส โดยมีโรงงานการผลิตแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยมาตรฐานของอุตสาหกรรมการทำนาฬิกาด้วย
ทุกเรือนเป็นโครโนมิเตอร์
ใบรับรองโครโนมิเตอร์ (Chronometer) แสดงให้เห็นถึงการยอมรับว่า ‘ มีความเที่ยงตรงเป็นที่สุด แม้จะอยู่ในสถานะใดๆก็ตาม’
นี่คือความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดสำหรับนาฬิกาที่ได้รับใบรับรองนี้ กว่าจะได้มาต้องมีการนำเสนอวิธีการและระยะเวลาการผลิตทั้งหมดให้กับสถาบันทดสอบความเที่ยงตรง The Swiss Official Chronometer Testing Institute หรือที่เรียกกันย่อๆว่า C.O.S.C. ได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อน พร้อมกับผ่านการตรวจสอบและทดสอบ
สำหรับ Breitling ก็ต้องผ่านการทดสอบดังกล่าวเช่นกัน ด้วยระยะเวลา 15 วัน 15 คืน ในอุณหภูมิต่างกัน 3 อุณหภูมิ ทั้งหมดนี้เพื่อยืนยันให้เห็นถึงความแน่วแน่ในการตัดสินใจที่จะทำให้ตนเองแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นๆด้วยใบรับรองจาก C.O.S.C. สำหรับนาฬิกาทุกรุ่นทุกเรือน หรือจะเรียกว่า 100% ของการผลิตล้วนผ่านการรับรองความเที่ยงตรงมาแล้วทั้งสิ้นก็ได้
ประวัตินาฬิกา Audemars Piguet
ประวัติศาสตร์แรกเริ่มของ Audemars Piguet เริ่มต้นตั้งแต่ในปี 1875 ด้วยความร่วมมือของช่างนาฬิกาวัย 23 ปี จูลส์-หลุยส์ โอเดอะมาร์ส (Jules-Louis Audemars) และหุ้นส่วนคนสำคัญ เอ็ดวาร์ด -ออกัสต์ ปิเกต์ (Edward August Piguet) ที่เพิ่งจะอายุแค่ 21 ปี แต่เมื่อความต้องการของทั้งคู่นั้นสอดคล้องกัน ทำให้หลังจากพบกันได้เพียงไม่นาน ทั้งคู่ในฐานะช่างนาฬิกามีชื่อในระดับท้องถิ่นแห่ง วัลเลย์ เดอ ฌูช์ ก็ตัดสินใจร่วมกันตั้งบริษัทที่แรกๆนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม Audemars Piguet et Cie โดยมี Jules – Louis Audemars เป็นผู้ดูแลเรื่องการผลิตและทางด้านเทคนิค ส่วน Edward August Piguet นั้นดูแลงานด้านการขายและการตลาดที่หมั่นออกพบลูกค้าผ่านหลายเมืองสำคัญและอีกหลายทวีปอย่างมุ่งมั่น
แม้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักในระยะแรกๆซึ่งแท้จริงแล้ว บริษัทยังไม่ได้จดเครื่องหมายการค้าจนกระทั่งในปี 1882 ด้วยซ้ำ และบริษัทก็ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปี 1889 อย่างไรก็ตาม Audemars Piguet et Cie กลับเป็นบริษัทใหญ่ที่มีจำนวนลูกจ้างสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรมผู้ผลิตนาฬิกาในรัฐ Vaud ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นของบุคคลทั้งสองที่มีจุดมุ่งหมายในการผลิตนาฬิกาคุณภาพสูงมีความสลับซับซ้อนและมีความเที่ยงตรงสูงสุดจนประสบความสำเร็จในที่สุด
หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ไม่นานทั้งคู่จึงได้ตั้งสำนักงานสาขาอยู่ในกรุงเจนีวาและตัดสินใจผลิตชิ้นส่วนและประกอบเรือนนาฬิกาทั้งหมดในโรงงานของตัวเอง ซึ่งทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพของนาฬิกาได้อย่างเคร่งครัด และมั่นใจได้ว่ามีเฉพาะนาฬิกาคุณภาพสูงได้มาตราฐานเท่านั้นที่จะสามารถส่งออกจากโรงงานของพวกเขาได้ ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าในระหว่างช่วงปี 1894-1899 มีนาฬิกาเพียง 1,208 เรือนเท่านั้นที่ได้รับการผลิต ซึ่งในจำนวนนี้บางส่วนนั้นเป็นนาฬิกาที่มีความสลับซับซ้อนและทันสมัยสูงสุด ซึ่งก็รวมถึงนาฬิกาแห่งตำนานรุ่น ‘กรองด์ คอมพลิเคชั่น ‘(Grande Complication) ที่ยังคงมีการผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากชื่อเสียงและการได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วโลก เพราะนอกจากบอกเวลาตามปกติแล้ว Grande Complication รุ่นนี้ ยังมีระบบระฆังบอกนาที บอกปฏิทินตลอดชีพ และระบบโครโนกราฟ สอดแทรกมาให้อย่างครบครันด้วย
ประมาณปี 1914 Audemars Piguet ได้ตั้งโครงการพัฒนานาฬิกาให้มีความสลับซับซ้อนทำให้ต้องใช้เวลาถึง 6 ปี ในการผลิตอย่างต่อเนื่องก่อนที่นาฬิกาจะถูกส่งไปยังผู้นำเข้า Guignard & Golay ในกรุงลอนดอน ซึ่งนาฬิกาที่กล่าวถึงนี้ก็คือนาฬิกาพกที่มีสองหน้าปัดและกลไกทูร์บิญองบอกนาทีและมีทั้งฟังก์ชั่นตีระฆังบอกนาที ระบบจับเวลาโครโนกราฟ ระบบปฏิทินตลอดชีพ เวลาข้างขึ้น – ข้างแรมของพระจันทร์ และบอกพลังสำรองของลานส่วนบน อีกหน้าปัดหนึ่งนั้นแสดงเวลาเพิ่มเติมแบบ 24 ชั่วโมง ที่ชี้เวลาด้วยเข็ม 2 เข็ม พร้อมระบบพิเศษที่ทำให้สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าบนกรุงลอนดอนทั้งกลางวันและกลางคืนผ่านช่องเปิดรูปวงรีบนหน้าปัดด้านหลังซึ่งบนท้องฟ้านั้นมีดาวจำนวน 315 ดวงสลักไว้บนพื้นหน้าปัดชุบทองและลงยาด้วยสีฟ้า ทั้งยังสลักชื่อของกลุ่มดาวเอาไว้อย่างชัดเจน การสร้างสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้นี้ทำให้ชื่อของ Audemars Piguet เป็นที่รู้จักและถูกกล่าวขานกันมากขึ้น
แต่รายทางของตำนานก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อกระแสความสำเร็จที่มีอย่างต่อเนื่องของ Audemars Piguet ชะงักงันในปี 1929 ที่บริษัทขายนาฬิกาได้เพียง 737 เรือนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากยอดขายในปี 1920 ที่มีอยู่ราว 2,000 เรือนอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปัญหาทางด้านการตลาดและวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ทำให้ลูกค้าผู้มีกำลังซื้อนาฬิกาแพงๆลดลง ในที่สุด Audemars Piguet จำต้องปลดพนักงานและช่างนาฬิกาออกอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 1932 มีนาฬิกาเพียง 2 เรือนเท่านั้นที่บริษัทผลิตออกมา
แม้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่ไม่เคยคิดยอมแพ้ ในที่สุดบริษัทก็สามารถกลับฟื้นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะความสำเร็จของระบบโครโนกราฟที่พวกเขาคิดค้นขึ้นและการสร้างนาฬิกาที่มีความบางพิเศษ (ซึ่งใช้กลไกขนาด 9 ligne calibre 2003) และในระหว่างทศวรรษ 1950 และ 1960 ยอดขายของบริษัทก็กลับพุ่งขึ้นอีกครั้ง ต่อมาในปี 1967 Audemars Piguet ได้ร่วมมือกับเจเกอร์ เลอคูลทร์ ( Jaeger LeCoultre) สร้างสถิติใหม่ด้วยการประดิษฐ์กลไกอัตโนมัติที่บางที่สุดเพียง 2.45 มิลลิเมตร ซึ่งมีโรเตอร์กลางทำจากทองคำ 21K และเพียง 3 ปีต่อมมาคือในปี 1970 ช่างนาฬิกาของ Audemars Piguet ก็ได้สร้างกลไกบางที่สุดในโลกหนาเพียง 3.05 มิลลิเมตรที่สามารถรวมเอาฟังก์ชั่นแสดงวันที่และโรเตอร์กลางซึ่งทำด้วยทองมาไว้ด้วยกัน
และปีที่สำคัญมากแห่งประวัติศาสตร์ Audemars Piguet ก็คือปี 1972 ที่บริษัทได้สร้างนาฬิการุ่นยอดนิยมและยังมีชื่อเสียงอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันนั่นคือ นาฬิการุ่น ” รอยัล โอ็ก” (Royal Oak) ซึ่งได้รับการออกแบบโดยผู้เป็นตำนานแห่งช่างนาฬิกา เฌรัลด์ ฌองตา กับตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมขอบตัวเรือนทำจากเหล็กตกแต่งด้วยสกรูแบนรูปหกเหลี่ยมฝังเข้าไปกลายเป็นดีไซน์ที่แสดงความสมดุลระหว่างพลังและความหรูหรา และหลังจากการเปิดตัวภายในงาน European Watchmaking Fair ในปี 1972 ด้วยราคาสูงถึง 3,300 ฟรังก์สวิส ก็ยิ่งทำให้ Audemars Piguet กลับมามีชื่อเสียงเกินความคาดหมายของผู้สร้างนาฬิกาเรือนนี้เสียอีก
ปัจจุบัน Audemars Piguet ยังคงเป็นที่หนึ่งในฐานะผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาระดับสูงของโลก ทุกชิ้นส่วนกลไกยังคงทำและประกอบขึ้นด้วยมือตามประเพณีตกทอดในการสร้างนาฬิกา และวันนี้ชื่อของ Audemars Piguet ก็มาเป็นอันดับ 3 รองจาก Patek Philippe และ Vacheron Constantin ในฐานะนาฬิกาที่ประณีตที่สุด สรรค์สร้างจากโรงงานซึ่งมีพนักงานรวม 320 คน และเป็นช่างนาฬิกามากกว่า 120 คน ปัจจุบันผลิตนาฬิกาได้มากกว่า 20,000 เรือน (ในปี 2004) และมีรายได้จากยอดขายกว่า 240 ล้านฟรังก์สวิส
ประวัตินาฬิกา Vacheron Constantin
“ทำให้ดีขึ้นถ้าเป็นไปได้ และมันก็เป็นไปได้ซะทุกที” (Do better if possiblend it is always possible) เป็นเหมือนปรัชญาที่สืบทอดจิตวิญญาณของช่างทำนาฬิกา ในการประดิษฐ์นาฬิกาคุณภาพเลิศจากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตสู่ปัจจุบัน ‘วาเชอรอง คอนสแตนติน’ (Vacheron Constantin) จิตวิญญาณนิรันดร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ในปี 1755 ปีทองส่องประกายสว่างไสว เป็นปีที่นักประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาระดับปรมาจารย์ ฌอง มาร์ค วาเชอรอง ซึ่งถือเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการนาฬิกาให้กำเนิดแบรนด์ Vacheron ขึ้น และยืนหยัดยาวนานที่สุดในโลกของเรือนบอกเวลามาจนถึงปัจจุบัน
Vacheron Constantin ‘Saint Gervais’
ในปี 1819 การพบกันของสองผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งเรือนบอกเวลาสวิตเซอร์แลนด์ – ฌาค บาเธอเลมี คอนสแตนติน (Jaques-Barthelemy Constantin) และ Jean-Marc Vacheron พลังมหาศาลของทั้งคู่ร่วมกันผลักดันและพัฒนาจนแบรนด์ดังแบรนด์นี้สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำด้านเทคนิคแห่งวิทยาการนาฬิกาโลกได้สำเร็จ
หลักพื้นฐาน 3 ประการที่ทำให้ Vacheron Constantin สามารถครองความยิ่งใหญ่ในโลกนาฬิกาได้จวบถึงปัจจุบันนี้ คือ
‘เทคนิค’ (Technique) (การผสมผสานระหว่างความรู้ วิธีการประดิษฐ์นาฬิกาแบบดั้งเดิมเข้ากับวิทยาการเครื่องมือที่ทันสมัยทำให้นาฬิกาของ Vacheron Constantin เป็นแบรนด์ที่เดินทางจากความเรียบง่ายของเครื่องบอกเวลามาสู่จุดสูงสุดของความเป็นนาฬิกาแบบมีกลไลซับซ้อนที่สุด
‘ความงาม'( Aesthetic)( Vacheron Constantin ความล้ำสมัยในการออกแบบของนาฬิกาแบรนด์นี้ไม่เคยหยุดค้นคิดสิ่งใหม่ จากจินตนาการและแรงบันดาลใจถ่ายทอดสู่ภาคความเป็นจริงแห่งดีไซน์ ทำให้ Vacheron เป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์ที่ยากจะหาใครเทียบเคียงได้
‘ความสมบูรณ์ของนาฬิกา’ (Finishing) (ความชำนาญด้านการประกอบและการขึ้นรูปสำเร็จของนาฬิกาเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Vacheron Constantin เป็นที่จดจำของเหล่านักสะสมนาฬิกาจนสามารถพูดได้ว่าความสมบูรณ์แบบของนาฬิกาแบรนด์นี้ไม่เป็นสองรองใครในโลกนาฬิกา
Royal Eagle Chronograph
อุปสรรคขวากหนามต่างๆตลอดเส้นทางสู่ความเป็นสุดยอดของนาฬิกาโลกคงไม่ใช่เส้นทางแห่งฟ้าหลังฝนที่จะสามารถข้ามพ้นไปได้ง่ายๆ แต่ด้วยความอดทนและความมุ่งมั่นในเจตนารมณ์ดั้งเดิมของความเป็น Vacheron Constantin จะเป็นตัวผลักดันให้นาฬิกาแบรนด์นี้ ก้าวขึ้นสู่ความเป็นจ้าวแห่งเรือนบอกเวลาโลกได้อย่างแน่นอน
ประวัตินาฬิกา EBEL
ใครจะะรู้ว่านาฬิกา EBEL ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมไปทั่วโลกเริ่มต้นจากความ “ไม่มีอะไรเลย” ในปี 1911 โดย Alice และ Eugene Blum ทีมงานสามีภรรยาในเมือง La-Chaux-de-Fonds เมืองเล็ก ๆ ในเทือกเขา Jura ซึ่งในระหว่างนั้นถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการทำนาฬิกาของโลก หลังจากนั้นเพียง 3 ปี EBEL ก็ได้รับรางวัลเหรียญทอง ในงาน Swiss National Exhibition จากผลงานการทำนาฬิกา ข้อมือ นาฬิกาห้อยคอ และนาฬิกาแหวน เพียงไม่กี่ปี หลังจากการก่อตั้ง EBEL ก็สามารถสร้างกระแสนิยมได้อย่างรวดเร็วจากการคิดค้นใหม่ ๆ เช่น
ปี 1920 EBEL หันมาพัฒนานาฬิกาแบบพกรุ่น Art Deco พร้อมระบบไขลานอัตโนมัติ ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก
ปี 1925 สองสามีภรรยานำนาฬิกาข้อมือที่ทำด้วยแพลตินั่มตกแต่งด้วยอัญมณีเลอค่าออกแสดงในงานศิลปะที่กรุงปารีส
ปี 1932 Charles Blum ลูกชายของทั้งสองได้เข้ามาสืบทอดงานบริหารบริษัทฯ และได้ขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศ พร้อมกับเปิดตัวนาฬิกาซึ่งมีขนาดเล็กมากออกสู่ตลาด จนได้รับประกาศนียบัตร “Diploma of Honour” ในงานBarcelona World Fair รวมทั้งรางวัลชนะเลิศทางด้านอัญมณีที่งาน Swiss National Exhibition ที่กรุงโลซาน
ปี 1972 Pierre Alain Blum ทายาทรุ่นที่ 3 ได้ตัดสินใจประกาศปรับปรุงวิสัยทัศน์ของบริษัทใหม่พร้อมกับมีการออกแบบโลโกและคำขวัญของ EBEL ว่า “Architects of Time” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่มุ่งเน้นเรื่องการออกแบบให้สวยงามและเพียบพร้อมไปด้วยเทคนิคอันเลอเลิศ
หลายปีจากนั้นอีเบลก็ได้สร้างนาฬิกาเด่น ๆ ออกมาอีกหลายรุ่นเช่น นาฬิกาสปอร์ตรุ่น Quantieme Perpetuel ที่เริ่มผลิตในปี 1985 ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างมาก ทุกเรือนจะให้วัสดุที่มีคุณค่าสูงในการผลิตเช่น ทองคำ ทองสีชมพู (Pink Gold) ทองคำขาว (White Gold) รวมทั้ง แพลตินั่ม ซึ่งจะผลิตตามใบสั่งซื้อเท่านั้น นาฬิการุ่นนี้จะมีเข็มพิเศษ 3 อันใช้วัดชั่วโมง นาที และวินาที พร้อมหน้าต่างเล็ก ๆ บอกข้างขึ้นข้างแรมด้วย
รุ่น Discovery และรุ่น Voyager ซึ่งผลิตในปี 1978 โดยรุ่น Discovery เป็นนาฬิกาเพื่อการดำน้ำลึกถึง 200 เมตร ขอบตัวเรือนที่หมุนได้ทุกทิศทางมีระบบป้องกันการเคลื่อนที่โดยไม่ตั้งใจ กระจกหน้าปัดกันแสงสะท้อนและป้องกันรอยขีดข่วน และใช้พรายน้ำแบบ Tritium เพื่อให้มองเห็นในที่มืด
ส่วนรุ่น Voyager เป็นนาฬิกาแบบ World Time รุ่นแรกของโลกที่มีระบบไขลานแบบอัตโนมัติ สามารถบอกโซนเวลาได้ถึง 23 แห่งทั่วโลก นอกเหนือจากเวลาท้องถิ่น และในปี 1990 ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมเป็นรุ่น Voyager Atlas ด้วยหน้าปัดแบบลงยา เป็นรูปทวีปที่ดูเหมือนโผล่ขึ้นมาจากท้องทะเลสีทองและสีเงินออกสู่ตลาด
ในปัจจุบัน EBEL มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้าในเรื่องการออกแบบที่สวยงามและการเลือกใช้วัสดุสูงค่าผสมผสานกันอย่างลงตัว
ประวัตินาฬิกา Tag Heuer
ฮอยเออร์ (Heuer) เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของ เอดูอารค์ ฮอยเออร์ (Edouard Heuer) ผู้ก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกาเล็ก ๆ ในปี คศ. 1860 ขึ้นใน เมือง แซงต์ อิมิเยร์ (St. Imier) เมืองเดียวกับโรงงานผลิต นาฬิกา Longines ในเวลาไม่นานนักบริษัทของเขาก็มีชื่อเสียงขึ้นในระดับสากลถึงความเป็นสปอร์ตอันทรงคุณค่า จากความลุ่มหลงในกีฬา และการคิดค้นใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ของฮอยเออร์นั้น เมื่อคนพูดถึงนาฬิกาจับเวลา นาฬิกาจับเวลาที่ฮอยเออร์ผลิตออกมานั้น มีตั้งแต่นาฬิกาจับเวลาขนาดใหญ่ไปจนถึงนาฬิกาข้อมือ และมีการพัฒนาคิดค้นรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นในปี 1911 ฮอยเออร์ได้เปิดตัวนาฬิกาจับเวลาแบบติดตั้งในรถยนต์ขึ้นเป็นเรือนแรก และหลังจากนั้น 5 ปี ก็สามารถผลิตนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึง 1/100 วินาทีเป็นรายแรก
ฮอยเออร์นั้นมีพรสวรรค์ในการผลิตนาฬิกาจับเวลาหรือโครโนกราฟอย่างแท้จริงแม้ว่าในตอนแรกเริ่มโรงงานของเขาเองไม่สามารถผลิตกลไกจับเวลาได้ เขาได้ใช้เครื่องจากผู้ผลิตชื่อดังต่าง ๆ เช่น ฮาห์น แลนเดรอน (Hahn Landeron) เลอมาเนีย (Lemania) รวมทั้ง วัลฌูส์ (Valjoux) มาปรับแต่งและประกอบเข้ากับตัวเรือน
ปี 1966 ได้ร่วมมือกับ ไบรท์ลิ่ง(Breitling) ดูบัวส์-เดปราซ์ (Dubois-Deparz) และแฮมิลตัน-บิวเรน(Hamilton-Buren) พัฒนาเครื่อง Cal.11 โดยแฮมิลตัน-บิวเรนรับหน้าที่พัฒนากลไกออโตเมติกแบบพิเศษ ดูบัวส์ พัฒนาโมดูลระบบกลไกโครโนกราฟ ส่วนฮอยเออร์และไบรท์ลิ่งร่วมกันผลิตและพัฒนาชิ้นส่วนที่เหลือรวมทั้งออกแบบตัวเรือนและหน้าปัด ใช้เวลาประมาณ 3 ปี ทำให้โครโนกราฟรุ่นนี้มีจุดเด่นหลายอย่างที่แตกต่างจากเครื่องที่มีอยู่ในตลาดเวลานั้น เช่นปุ่มกดและเม็ดมะยมจะอยู่คนละฝั่งกัน โดยปุ่มกดจะอยู่ที่ตำแหน่ง 2 และ 4 นาฬิกา ส่วนมะยมจะอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา นอกจากนี้ยังสร้างระบบพลังงานสำรองเป็นแบบ ขึ้นลานอัตโนมัติโดยการให้ลูกเหวี่ยงแบบ ไมโครโรเตอร์(Microrotor) ฝังอยู่ด้านหลังเครื่องฝั่งหน้าปัด เมื่อมองจากด้านหน้าเครื่องจะเห็น เหมือนกับเป็นเครื่องไขลานปกติ และยังมีความหนาที่ลดลงด้วย
Edouard Heuer นั้นทุ่มเทในกับความแม่นยำและเที่ยงตรงด้วยจิตวิญญาณของคนรักกีฬา เมื่อเขาก่อตั้งโรงงานในปี 1860 ความมุ่งมั่นอย่างเดียวของเขาก็คือ ยกระดับการจับเวลาให้อยู่ในระดับสูง จากนั้นเป็นต้นมาฮอยเออร์ก็ได้ชื่อว่า เป็นAvant-garde หรือ นักคิดค้นแห่งศิลปะการจับเวลา ไม่ว่าจะเป็นในด้านเทคโนโลยีหรือวัสดุ รวมทั้งดีไซน์ที่จับใจ
ฮอยเออร์ได้รับสิทธิบัตรมากมายในการประดิษฐ์คิดค้นซึ่งเป็นการยืนยันถึงอัจฉริยภาพของเขา
ฮอยเออร์เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของการแข่งแชมป์โลกสกี รถสูตร 1 (Formula 1)รวมทั้งกีฬาอื่น ๆ อันนำมาซึ่งแรงบันดาลใจในการพัฒนาเทคโนโลยีการจับเวลาอีกด้วย
ปี 1999 Tag Heuer ได้เข้ารวมกลุ่มกับ LVMH (Louis Vuitton-Mot Hennessy)ซึ่งในกลุ่มนี้มีนาฬิกา Zenith, Ebel Chaumet, Benedom และ Fred รวมอยู่ด้วย ทำให้ปัจจุบัน Tag Heuer เป็นส่วนหนึ่งของผู้ผลิตนาฬิกาที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
« Back
ประวัตินาฬิกา Omega
ปัจจุบันน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักนาฬิกายี่ห้อ Omega
เบื้องหลังความสำเร็จก็คือ คุณภาพที่เชื่อถือได้ของนาฬิกา Omega ทุกเรือน
Omega ถือกำเนิดในปี 1848 ที่ La Chaux-de-Fonds โดยนักประดิษฐ์หนุ่มอายุเพียง 23 ปี ชื่อ Louis Brandt. โดย Louis Brandt ได้ประกอบนาฬิกาพกซึ่งใช้ชิ้นส่วนของนักประดิษฐ์ในท้องถิ่นและผลงานของเขาได้ค่อยๆสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก.
Louis Brandt ได้จากไปในปี 1879 โดยมีบุตรชาย 2 คน คือ Louis Paul และ César Brandt เป็นผู้รับช่วงกิจการ และได้ย้ายบริษัทไปที่ Bienne ในดือนมกราคม 1880 เนื่องจากความพร้อมมากกว่าในด้านกำลังคน การติดต่อสื่อสาร และพลังงาน โดยเริ่มแรกย้ายไปโรงงานเล็กๆในเดือนมกราคม และได้ซื้อตึกทั้งหลังในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน.
2 ปีต่อมาได้ย้ายไปที่ Gurzelen district of Bienne ซึ่งสำนักงานใหญ่ยังคงตั้งอยู่ที่นี่ถึงปัจจุบัน.
ทั้ง Louis-Paul และ César Brandt ได้ตายพร้อมกันในปี 1903 ได้ทิ้งบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาสวิสที่ใหญ่ที่สุด ด้วยยอดกำลังการผลิตนาฬิกา 240,000 เรือนต่อปี และพนักงาน 800 คน ไว้ในการบริหารของกลุ่มคนหนุ่ม 4 คน ซึ่งผู้ที่อาวุโสที่สุดก็คือ Paul-Emile Brandt มีอายุเพียง 23 ปี
ด้วยความยากลำบากอันเกิดขึ้นเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 OMEGA ได้ตัดสินใจรวมกิจการกับ Tissot ตั้งแต่ 1925 จนถึง 1930 ภายใต้ชื่อ SSIH.
ในช่วงทศวรรษ 70 SSIH ได้กลายเป็น ผู้ผลิตนาฬิกาสวิสอันดับหนึ่งและเป็นอันดับ 3 ของโลก.จนกระทั่งช่วงวิกฤตทางการเงินและเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงในระหว่าง 1975 ถึง 1980,SSIH ได้ถูกซื้อกิจการ โดยแบงก์ในปี 1981. ในปี 1985 ธุรกิจได้ถูกควบกิจการโดยกลุ่มนักธุรกิจเอกชนกลุ่มหนึ่งภายใต้การบริหารของ Nicolas Hayek และได้เปลี่ยนชื่อเป็น SMH , Societe suisse de microelectronique et d’horlogerie,
กลุ่มใหม่นี้ได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และเติบโตเป็นผู้ผลิตแนวหน้าของโลก.
ในปี 1998 ชื่อของ Swatch Group ได้ถูกเรียกขาน และได้รวมเอา Blancpain และ Breguet เข้ามาร่วมด้วย และแน่นอนชื่อของ OMEGA ก็ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างชื่อเสียงที่สุดและเป็นแบรนด์สำคัญของกลุ่ม
First watch on the moon
รุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Omega ก็คือ Omega Speedmaster โดยรุ่นแรกที่ผลิตออกมาคือรุ่น CK2915 ในปี 1957 และได้ผลิต speedmaster ออกมาเรื่อยๆจนถึงวันหนึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 60 ในเวลานั้น NASA กำลังดำเนินโครงการอวกาศ MERCURY และก็กำลังจะเริ่มต้นโครงการ GEMINI หรือการส่งคนหนึ่งคู่ ออกไปโคจรรอบโลกซึ่งโครงการ Mercury ที่ NASA กำลังดำเนินอยู่นั้นเป็นการปฏิบัติภารกิจภายในยาน โดยนักบินถูกส่งไปโคจรรอบโลก ส่วน ภารกิจ Gemini นั้น จะมีการส่งคนออกไปนอกยานเพื่อลอยไปลอยมา และทำการทดลองต่างๆ ดังนั้น NASA จึงเกิดความต้องการที่จะจัดหานาฬิกาเพื่อใช้ในโครงการอวกาศต่างๆต่อไป โดยนาฬิกาที่ว่าจะต้องมีระบบจับเวลาเพื่อถูกใช้สำรองในกรณีที่ระบบเวลาหลักล้มเหลว นาฬิกาที่ว่าจะต้องทนต่อทุกสภาวะ ทั้งความกดดันอากาศ สภาพสุญญากาศ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงจากติดลบไปเป็นร้อยองศาเพียงเคลื่อนข้ามจากใต้เงาไปสู่แสงแดด
ดังนั้นในปี 1962 NASA จึงได้ส่งพนักงานจัดซื้อของตนออกไปหาซื้อนาฬิกาจับเวลามาอย่างละเรือนสองเรือนเพื่อใช้ในการทดสอบแบบไม่เป็นทางการ การจัดหาก็ทำอย่างง่ายๆ คือให้เจ้าหน้าที่ของตนไปที่ร้านขายนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองที่สำนักงานใหญ่ของตนตั้งอยู่ก็คือ Houstan รัฐ Texas ห้างดังกล่าวชื่อ Corrigan ซึ่งในปัจจุบันร้านนี้ก็ยังคงเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Omega อยู่ หลังจากซื้อมาแล้ว Nasa ก็ได้วิเคราะห์นาฬิกาต่างๆและนำมาลองใช้ในโครงการ Mercury จนได้ไอเดียคร่าวๆแล้ว ในปี 1964 Nasa จึงกำหนดข้อต้องการในการจัดซื้อนาฬิกาต่างๆมาทดสอบเพื่อทำการใช้ในโครงการอวกาศ Gemini และ Apollo ใบขอสั่งซื้อได้ถูกส่งไปยังบริษัทต่างๆเช่น Elgin, Benrus, Hamilton, Mido, Luchin Picard, Omega, Bulova, Rolex, Lonngines, Gruen โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้
1. ให้ส่งมอบไม่เกินวันที่ 21/10/1964
2. ต้องเดินผิดพลาดไม่เกิน 5 วินาทีต่อ 24 ชั้วโมง จะยิ่งดีถ้าเดินผิดพลาดไม่เกิน 2 วินาทีต่อวัน
3. ต้องกันแรงดันได้ตั้งแต่ แรงดันน้ำที่ 50 ฟุต จนถึงสุญญากาศที่ 10^ -5 มม ปรอท
4. หน้าปัดต้องอ่านง่ายในทุกสภาวะ โดยเฉพาะภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่เป็นสีแดงหรือขาว อย่างต่ำๆต้องมองเห็นภายใต้แสงเทียนที่ระยะ 5 ฟุต ในสภาวะแสงจ้าหน้าปัดไม่ควรไม่มีแสงสะท้อน ถ้าจะให้ยิ่งดีหน้าปัดควรมีสีดำ
5. หน้าปัดต้องแสดง วินาที 60 วินาที วงนาที 30 นาที และวงชั่วโมง 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
6. นาฬิกาต้องกันน้ำ กันกระแทก กันแม่เหล็ก กระจกหน้าปัดต้องต้องไม่คมและไม่กระจายเป็นเศษๆเวลาแตก
7. นาฬิกาที่จัดหาจะเป็นไขลาน ออโต หรือใช้ระบบไฟฟ้าก็ได้ แต่ต้องเอามือหมุนขึ้นลานได้
8. นาฬิกานี้บริษัทที่จำหน่ายต้องมีรับประกันเป็นเวลาอย่างต่ำ 1 ปี
จากสเป็คจะเห็นได้ว่า Nasa อาจได้ลองใช้นาฬิกาหลายๆยี่ห้อแล้วติดใจใน Omega เพราะเสป็คที่ออกมาเข้ากับOmega ทุกอย่าง ในขณะนั้นยังไม่มีนาฬิกาจับเวลาแบบ auto หรือใช้ไฟฟ้าออกมา และบางบริษัทก็ได้ปฎิเสธที่จะส่งนาฬิกาให้เนื่องจากว่าตนไม่ได้ผลิตนาฬิกาที่ตรงกับข้อกำหนดดังกล่าว การทดสอบที่ Nasa จัดขึ้นมาก็แบ่งเป็นชุดๆ หลายๆขั้นตอน พอสิ้นสุดการทดสอบแต่ละครั้ง นาฬิกาแต่ละเรือนก็จะถูกเช็คอย่างละเอียด ถ้าเดินไม่ตรงมากๆ ไขลานไม่ได้ จับเวลาไม่ได้ น้ำเข้า หรือชิ้นส่วนพัง ก็จะถูกคัดออกจากการทดสอบ
การทดสอบหฤโหด ได้แบ่งเป็นช่วงๆดังนี้ ระหว่างการทดสอบในแต่ละช่วง นาฬิกาก็จะถูกตรวจว่ายังทำงานปกติหรือไม่
1. เข้าห้องอบที่อุณหภูมิ 71 ๐C 48 ชั่วโมง แล้วต่อด้วย 93 ๐C 30 นาที ปรับความดันไว้ที่ 0.35 ATM ความชื้น 15%
2. อุณหภูมิ -18 ๐C 4 ชั่วโมง
3. ที่สุญญากาศ 10^ -6 ATM เข้าห้องอบลดอุณหภูมิจาก 71 ๐C ลงมาที่ -18 ๐C ในเวลา 45 นาที และเพิ่มกลับไปที่ 71 ๐C ในอีก 45 นาที ทำแบบนี้วนไปวนมา 15 รอบ
4. เข้าตู้อบความชื้นสูง 95% เป็นเวลา 240 ชั่วโมง อุณหภูมิในห้องทดสอบเปลี่ยนไปมาระหว่าง 20 – 71C ไอน้ำไม่เป็น กรดหรือด่าง
5. เข้าห้องอบ Oxygen 100% ที่แรงดัน 0.55 ATM เป็นเวลา 48 ชั่วโมงที่อุณหภูมิ 71 C ถ้ามีรอยใหม้ เกิดแก๊สพิษลอยออกมา หรือยางเสื่อมสภาพถือว่าสอบไม่ผ่าน
6. โดนแรงเหวี่ยง 40G (ความเร่ง) ครั้งละ 11 Millisecond หกทิศทาง (คล้ายๆกับเหวี่ยงนาฬิกาแรงๆมากๆ เร็วมากๆ)
7. ความเร่งจาก 1G ไป 7.25G ในเวลา 333 วินาที (ลักษณะคล้ายๆยิงจรวดขึ้นฟ้า)
8. เข้าห้องสุญญากาศแรงดัน 10^ -6 ATM อีก 90 นาทีที่ 71 ๐C และอีก 30 นาทีที่ 93 ๐C
9. แรงดันอากาศสูง 1.6 ATM เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
10. เข้าเครื่องเขย่า 30 นาที ที่ความถี่เปลี่ยนไปมาระหว่าง 5 – 2000 รอบต่อวินาที และที่ 5 รอบต่อวินาทีต่ออีก 15 วินาที แรงเขย่าอย่างต่ำๆ 8.8 G (เหมือนเขย่าแรงๆช้ามั่ง เร็วมั่ง)
11. โดนยิงคลื่นเสียงที่ดัง 130 dB เป็นเวลา 30 นาที โดยใช้เสียงทุกช่วงความถี่ที่คนได้ยิน
หลังการทดสอบ Rolex หยุดเดินสองครั้ง 1 และเข็มงอพันเข้าหากันในตู้อบความร้อน เลยถูกคัดออกจากการทดสอบ ส่วน Longines นั้นกระจกหลุดร่วงออกจากตัวเรือน เปลี่ยนตัวใหม่เข้า test ต่อก็ยังร่วงอีกเลยสอบตกไปตามๆกัน ที่เหลือรอดมาได้คือ Omega Speedmaster ซึ่งหลังจากผ่านการทดสอบแล้ว สูญเสียความเที่ยงตรงในการทดสอบความเร่งและทดสอบสูญญากาศ พรายน้ำที่หน้าปัดมีรอยไหม้แต่อย่างอื่นปกติ ซึ่งเป็นที่พอยอมรับกันได้ Omega จึงผ่านการทดสอบและได้รับการบรรจุให้เป็น อุปกรณ์หลักในโครงการอวกาศ Gemini และ Apollo โดยเริ่มจากโครงการ Gemini 3
ต่อมาปี 1965 Mission Gemini 4 Edward White ก็ได้ใช้ Omega Speedmaster ในการจับเวลาการลอยไปลอยมาในอวกาศ (Space walk) ของตน
ดังนั้นในปี 1966 Omega จึงได้เพิ่มคำว่า PROFESSIONAL ต่อท้ายคำว่า Speedmaster บนหน้าปัดเพื่อเฉลิมฉลองการยอมรับจาก Nasa ให้ใช้ในโครงการอวกาศของตน
ต่อมา มีแรงกดดันจากทำเนียบขาว เนื่องจากทางผู้ผลิตนาฬิกาอเมริกันไม่พอใจที่มีการใช้นาฬิกาสวิสในโครงการอวกาศของอเมริกัน และโครงการส่งคนไปบนดวงจันทร์ ทาง Nasa จึงได้มีการตอบกลับไปพร้อมผลทดสอบว่าได้ทำการทดสอบแล้วพบว่า นาฬิกาที่ผลิตในประเทศไม่ผ่านการทดสอบนี้
และแล้วในปี 1969 มนุษย์กลุ่มแรกก็ถูกส่งไปยังดวงจันทร์พร้อมด้วย Omega Speedmaster ภายใต้ภารกิจที่ชื่อ Apollo 11 ภารกิจนี้มีนักบินด้วยกันสามคนคือ Buzz Aldlin, Niel ArmStrong และ Michael Collins โดยสองคนแรกลงไปใน Lunar Module เพื่อร่อนลงบนดวงจันทร์ ส่วน Michael Collins ต้องอยู่บนยานแม่ซึ่งโคจรอยู่เหนือดวงจันทร์ ก่อนการแยกยาน นาฬิกาหลักบนยานแม่เกิดขัดข้อง Niel Armstrong จึงต้องทิ้งนาฬิกาของตนไว้บนยานแม่เพื่อใช้สำรองแทนเครื่องที่พัง ดังนั้นคนที่ใส่นาฬิกาลงไปบนดวงจันทร์คนแรกไม่ใช่ Niel Armstrong แต่เป็น Buzz Aldlin นาฬิกาเรือนถูกใช้จับเวลาที่นักบินทั้งสองปฎิบัติการอยู่ภายนอกยานบนดวงจันทร์ นี่เป็นที่มาของตำนาน The First Watch worn on the moon น่าเสียดายอย่างยิ่งตรงที่ว่าเมื่อ Buzz Aldlin กลับมาถึงโลกแล้ว ทรัพย์สินเครื่องใช้ต่างๆต่างก็ถูกขโมย หายไปรวมทั้งนาฬิกา Omega Speedmaster เรือนแรกที่มนุษย์โลกสวมบนดวงจันทร์ด้วย ปีต่อมา Mission Apollo 13 Omega Speedmaster Professional ก็ได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญอีกครั้งใน Mission Apollo 13 ซึ่ง Nasa ได้ทำการส่งคนไปลงดวงจันทร์อีก ระหว่างทางถัง oxygen ของยานได้เกิดระเบิดขึ้นมาทำให้สูญเสียแหล่งกำเนิดไฟฟ้าในยานทั้งหมด นักบินต้องเอาชีวิตรอดโดยการนำยานเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์และใช้แรงเหวี่ยงของดวงจันทร์ผลักให้ยานพุ่งกลับสู่โลก การทำงานทำได้โดยติดขัดเพราะมีไฟฟ้าเพียงแค่พอหล่อเลี้ยงอุปกรณ์สื่อสารเท่านั้น เครื่องมือจับเวลาไฟฟ้าประจำยานล้มเหลวทั้งหมด ดังนั้นนักบินจึงต้องใช้นาฬิกา Speedmaster จับเวลาการจุดระเบิดของเครื่องสร้างแรงขับดัน เพื่อบังคับทิศทางยานให้พุ่งกลับสู่โลก ใครเป็นเจ้าของ Speedmaster และได้ดูหนัง เรื่อง Apollo 13 จะภูมิใจกับนาฬิกาของตนมาก เพราะมีฉากหนึ่งที่ผู้การ Jim Lowell ได้ใช้นาฬิกา Speedmaster จับเวลาอย่างชัดเจน
ปี 1975 มีโครงการอวกาศร่วมระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตในการนำยาน Apllo เข้าเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศ Soyuz ของโซเวียต มีการจับมือกลางอวกาศ และเซ็นเอกสารเป็นที่ระลึก นักบินชาวอเมริกันและรัสเซียต่างก็ประหลาดใจเมื่อพบว่าทั้งสองฝ่ายใช้นาฬิกาเหมือนๆกันคือ Omega Speedmaster นั่นเอง แสดงว่า Omega รุ่นนี้เป็นที่ยอมรับกันทั้งสองค่าย ส่วนนักบินรัสเซียอีกคนที่ชื่อ Alexandr Polishchuk ก็เลือกใช้ Omega เช่นกันแต่เป็นรุ่น Flight Master ซึ่งเป็นนาฬิกาลูกพี่ลูกน้องของ Speedmaster
ต่อมาช่วงต่อระหว่างโครงการ Apollo และโครงการ Space Shuttle ได้มีการจัดหานาฬิกาที่จะนำมาใช้ โดยมีการทดสอบแบบเดิม ครั้งนี้มีแรงผลักดันจากรัฐบาลให้นาฬิกาในประเทศอย่าง Bulova ได้เข้าทดสอบด้วย แต่ในที่สุดผู้ที่ชนะในการทดสอบครั้งนี้ก็ยังเป็น Omega Speedmaster Professional เช่นเดิม แต่ในครั้งนี้สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ Omega ได้ใช้เครื่องรุ่นใหม่ Caliber 861 (Based on lemania 1863) เนื่องจากผู้ผลิตเดิมเลิกทำการผลิตเครื่องรุ่น 3210 แล้ว ช่วงหลังๆภารกิจ Space Shuttle ได้มีการปรับบรรยากาศภายในยานให้คนอยู่ได้โดยไม่ต้องสวมชุดอวกาศ และมีการค้นคิดนาฬิกาแบบ Quartz และ computer แบบติดข้อมือซึ่งมีความเสถียรมากขึ้นๆ ทำให้ให้บทบาทของนาฬิกาแบบ Mechanic ลดน้อยถอยลงไป Omega Speedmaster จึงค่อยๆกลายเป็นอุปกรณ์เพื่อ Back up แต่ชื่อเสียงและความยิ่งยงในอดีตก็ยังคงไม่ลืมเลือน มีนักบินอวกาศหลายคนที่ยังเลือกใช้ Omega Speedmaster ในชีวิตประจำวันของตน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงภารกิจนอกโลกที่ตนเคยมีส่วนร่วมนั่นเอง
ประวัตินาฬิกา Rolex
Rolex ก่อตั้งขึ้นในปี คศ.1908 โดย ฮันส์ วิลส์ดอร์ฟ (Hans Wilsdorf) ชาวเยอรมัน ซึ่งในตอนแรกใช้ชื่อบริษัทว่า วิลส์ดอร์ฟแอนด์เดวิส โดยที่เข้าหุ้นกับน้องเขยซึ่งในขณะนั้น การผลิตนาฬิกาแบบพก (Pocket Watch) ส่วนใหญ่ผลิตที่สวิสเซอร์แลนด์ยังประสบปัญหา ในการทำให้มีขนาดเล็กแต่เที่ยงตรงและแม่นยำเชื่อถือได้เพื่อนำมาใส่ในตัวเรือนนาฬิกาข้อมือ วิลส์ดอร์ฟ เป็นผู้แสวงหาความสมบูรณ์แบบในการพัฒนาเครื่องให้มีขนาดเล็กแต่เที่ยงตรงเพื่อนำมาใช้กับนาฬิกาข้อมือ ที่สามารถสื่อถึงสไตล์ แฟชั่น และรสนิยม ซึ่งในระยะแรกได้ให้ Aegler บริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในสวิสเป็นผู้ผลิตเครื่องให้ ในปี 1910 Rolex ได้ส่งนาฬิกาไปที่ School of Horology และได้รับรางวัลในฐานะนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของโลกที่ได้ Chronometer Rating ความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้นี้เกิดจากการปฏิวัติรูปแบบใหม่ทำให้สามารถกันน้ำและฝุ่นเข้าตัวเรือนได้โดยการคิดระบบมะยมแบบเกลียว (Screw Crown) ขึ้น ซึ่งนาฬิกากันน้ำเรือนแรกนี้ถูกนำมาโฆษณาอย่างชาญฉลาดโดยทำเป็นอะควาเรียม คือโชว์หน้าร้านโดยมีนาฬิกาอยู่ในโลกใต้ทะเลอันเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติการกันน้ำได้อย่างชัดเจน ซึ่งก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ยังแคลงใจว่านาฬิกาจะกันน้ำได้จริงหรือไม่ นี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อเสียงที่ทำให้โรเล็กซ์ดังไปทั่วโลก
ปี 1928 Rolex Prince ได้ชื่อว่าเป็นนาฬิกาที่ขายดีที่สุดจากดีไซน์สี่เหลี่ยม 2 หน้าปัด
ปี 1931 Rolex ได้ประดิษฐ์ Rotor รูปครึ่งวงกลมซึ่งหมุนได้อย่างอิสระที่ทำให้เกิดระบบ Perpetual อัตโนมัติขึ้น
กล่าวกันว่าสิ่งที่ทำให้ Rolex โดดเด่นเหนือนาฬิการะดับสูงอื่น ๆ คือ รูปทรงกลมขนาดใหญ่ของหน้าปัดและสายที่มีความกว้าง แต่สง่างามมองเห็นได้แต่ไกลซึ่งพิสูจน์ความเป็นอมตะไว้อย่างยาวนาน แม้ Rolex จะมีพัฒนาการด้านดีไซน์ตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย Rolex รุ่น Datejust จากปี 1945 ถึงรุ่นปัจจุบัน คุณจะพบว่า แม้ตัวเครื่องและชิ้นส่วนภายในแทบจะไม่มีชิ้นไหนเหมือนและใช้แทนกันได้เลย แต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณค่าเหนือกาลเวลาของโรเล็กซ์กลายเป็น “การลงทุนที่ชาญฉลาด” สำหรับนักสะสมนาฬิกาหลายคน การประมูลนาฬิกา โรเล็กซ์รุ่นเก่า ๆ สามารถสร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้นได้เสมอ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนาฬิกาสวิสที่มีชื่อเสียงที่สุดแต่ โรเล็กซ์ก็เป็น “คนนอก” ของเจนีวาเสมอ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโรเล็กซ์ก่อตั้งขึ้นที่ลอนดอนในปี 1905 โดยวิลส์ดอร์ฟ ซึ่งเป็นชาวเยอรมันซึ่งต่อมาได้สัญชาติอังกฤษจากการสมรส ในสมัยนั้นกระแสชาตินิยมเป็นตัวกำหนดหลักคิดหลาย ๆ อย่าง แต่สำหรับวิลส์ดอร์ฟผู้มองการณ์ไกล ก่อนใครจะรู้จักคำว่า “Multinational” วิลส์ดอร์ฟได้จดทะเบียนการค้าเครื่องหมาย Rolex ในปี 1908 ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นคำที่ออกเสียงง่ายในหลายภาษาทั่วโลกและสั้นกระชับที่จะประทับลงบนหน้าปัดนาฬิกา กล่าวกันว่า เขาคิดขึ้นได้ในขณะโดยสารรถบัสในลอนดอนโดยได้แรงบันดาลใจจากเสียงการทำนาฬิกา โรงงานของโรเล็กซ์ตั้งอยู่ในลอนดอนจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อภาษีนำเข้าพุ่งสูงขึ้นถึง 33 เปอร์เซ็นต์ทำให้การนำเข้าอะไหล่จากสวิสมีต้นทุนสูงเกินไป โรเล็กซ์จึงต้องไปตั้งในเมกกะของโลกนาฬิกา -เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์
วิลส์ดอร์ฟ ไม่ใช่ผู้ผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรก แต่เขาต้องการเป็นผู้ประดิษฐ์นาฬิกาที่ เที่ยงตรง (Accurate) และเชื่อถือได้ (Reliable) ให้ได้เป็นเรือนแรกของโลก ซึ่งในปี 1926 โรเล็กซ์ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่วงการด้วยรุ่น Oyster ระบบมะเย็มเกลียว และซีลยางเป็นการล็อค 2 ชั้นไม่ให้ฝุ่นและความชื้นเข้า โดยเขาตั้งชื่อมันจากการรำลึกถึงความยากลำบากในการเปิดหอย Oyster ในงานเลี้ยงคืนหนึ่ง การสร้างกระแสนิยมให้กับนาฬิกาของเขา วิลส์ดอร์ฟเลือกวิธีได้อย่างชาญฉลาด เขาได้ให้นักว่ายน้ำที่เตรียมการณ์ว่ายน้ำ ข้ามช่องแคบอังกฤษซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของสาธารณชนในสมัยนั้น โดยสาวอังกฤษนาม Mercedes Gleitze สวมใส่โรเล็กซ์ พร้อมด้วยช่างภาพตามเก็บภาพอย่างใกล้ชิด ในที่สุด Gleitze ก็สามารถพิชิตช่องแคบอังกฤษลงได้พร้อม ๆ กับนาฬิกาโรเล็กซ์ บนข้อมือซึ่งยังคงทำงานของมันอย่างเที่ยงตรงไร้ที่ติ วิลส์ดอร์ฟประโคมข่าวหน้าหนึ่งในนสพ.ลอนดอน เดลิเมล์ อย่างครึกโครมว่า “นาฬิกามหัศจรรย์! กันน้ำ กันร้อน กันสะเทือน กันหนาว และกันฝุ่น” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิลส์ดอร์ฟได้สร้างหัวข้อสนทนาขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นการรณรงค์โฆษณาที่ประสบความสำเร็จที่สุดมาจนทุกวันนี้
จุดอ่อนบางประการของ Oyster ถ้าจะมีก็คือปุ่มหมุนไขลานตั้งเวลา ดังที่ทราบกันว่านาฬิการะบบกลไกจะต้องมีการหมุนปุ่มตั้งสม่ำเสมอ และ Oyster จะกันน้ำกันฝุ่นได้ก็ต่อเมื่อมะยมเกลียวถูกขันให้อยู่ในตำแหน่งปิด การหมุนปุ่มบ่อย ๆ ทำให้โอกาสที่น้ำและฝุ่นจะเข้ามีเพิ่มมากตามลำดับ ดังนั้นเพื่อลบจุดอ่อนนี้ โรเล็กซ์ได้สร้างรุ่น Perpetual ออกสู่ตลาด กุญแจคือ Rotor เป็นตัวสร้างพลังสำรอง จากการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่เอง ใช่แล้ว นาฬิการะบบออโตเมติกที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเรือนแรกของโลกได้เกิดขึ้นแล้วในปี 1931 ซึ่งทำให้โรเล็กซ์สร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ขึ้น ว่ากันว่า Rolex Oyster Perpetual ได้ทำให้ Rolex เป็น Rolex นั่นเอง
อีกกว่า 70 ปีที่ผ่านมา Oyster ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นของคุณภาพภายใต้สภาพการณ์ทดสอบแบบสุดขั้วต่าง ๆ เช่น การดำไปใต้ทะเลลึกกับ Jacques Piccard การขึ้นยอดเขาเอเวอร์เรสกับ เซอร์เอ็ดมุนด์ ฮิลลารี่ การทดสอบในอุณหภูมิขั้วโลก ในทะเลทรายซาฮาร่า รวมทั้งสภาวะไร้น้ำหนักในอวกาศ ทั้งเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุเครื่องบินตก เรือล่ม ตกจากที่สูง โรเล็กซ์ที่ถูกเผลอนำเข้าเตาอบ 500 องศา เข้าเครื่องซักผ้า เหล่านี้ ไม่เคยทำให้โรเล็กซ์ที่ซ่อมแซมแล้วกลับมาเดินเที่ยงตรงอีกไม่ได้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อเสียงของโรเล็กซ์เป็นสัญญลักษณ์ที่มีคุณค่า นักบินใน Royal Air Force ของอังกฤษปฏิเสธที่สวมใส่ นาฬิกาที่รัฐบาลจัดหาให้ แต่ยอมสละเงินเดือนเกือบทั้งหมดเพื่อที่ขอสวมใส่โรเล็กซ์ ผลตอบแทนเกิดขึ้นเมื่อหลังสงคราม นักบินอังกฤษที่ถูกจับกุมและยึดนาฬิกาไป ได้รับนาฬิกาเรือนใหม่ชดเชยเมื่อแจ้งไปยังกรุง เจนีวา แต่ในขณะเดียวกันทหารอเมริกันที่ยึดนาฬิกาไป กลับบ้านพร้อมกับเครื่องประดับบนข้อมือชิ้นใหม่ และนั่นเป็นจุดเริ่มของเรื่องอันยิ่งใหญ่ของโรเล็กซ์ในอเมริกา
ถึงแม้วิลส์ดอร์ฟจะอยู่ในเจนีวากว่า 40 ปี วิลส์ดอร์ฟก็ไม่ได้สัญชาติสวิส เขาเสียชีวิตในปี 1960 ที่ Briton ชื่อของเขาถูกจารึกในฐานะเป็นเพื่อนที่มีอารมณ์ขัน รักครอบครัวพอ ๆ กับนาฬิกาเป็นชีวิตจิตใจ และอีก 2 ปีต่อมา อังเดร ไฮนิเกอร์ทีร่วมงานมากับวิลส์ดอร์ฟ 12 ปีก็ก้าวสู่ตำแหน่งเอ็มดีแทน ไฮนิเกอร์ที่ร่วมวิสัยทัศน์กับวิลส์ดอร์ฟ เต็มไปด้วยพลัง และทัศนคติเชิงบวก ได้พาโรเล็กซ์ผ่านมรสุมแห่งวงการนาฬิกาสวิสในเวลาต่อมา
ช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1970 ตอนต้น กระแสความนิยมนาฬิกาควอตซ์ได้ระบาดเข้ามาแทนที่นาฬิการะบบกลไก เนื่องจากมีต้นทุนทีต่ำกว่ามากและยังมีเทคโนโลยีระบบดิจิตอลที่ทำให้เที่ยงตรงได้มากกว่า “ไซโก” ได้ทำให้อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสเข้าสู่วิกฤต อย่างแท้จริง กว่าครึ่งหนึ่งต้องปิดกิจการลง และ 1 ใน 3 ของผู้ที่เหลืออยู่ต้องหันมารวมตัวกันเพื่อความอยู่รอดเช่น Omega, Longines,Blanpain, Tissot, Rado และ Hamilton ต้องรวมตัวกันเป็นคอนซอเตียม และส่วนใหญ่จะต้องหันมาผลิตนาฬิการะบบควอตซ์กันหมด แต่โรเล็กซ์สร้าง Private Trust ซึ่งบริหารงานโดยคณะกรรมการของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอก รวมทั้งยืนหยัดในการผลิตนาฬิการะบบกลไกอย่างมั่นคง
อะไรทำให้โรเล็กซ์ยืนหยัดอยู่ได้ ? คำตอบคือ โรเล็กซ์มีผู้บริหารสูงสุดเพียง 2 คนนั่น วิลส์ดอร์ฟ และ ไฮนิเกอร์ ผู้ซึ่งมีวิสัยทัศน์ยาวไกลและพลังสร้างสรรอย่างล้นเหลือ พวกเขาไม่เคยกังวลเรื่อง “ผลประกอบการไตรมาสนี้” แต่คำถามของพวกเขาจะเป็น “ในอีก 5 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้าเราจะทำอะไร” โรเล็กซ์จึงมีทิศทางและวิถีที่ชัดเจนของตนเองอย่างมั่นคงโดยไม่ถูกกระแสสังคมภายนอกทำให้เปลี่ยน และโรเล็กซ์ไม่ฉวยประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโดยการเปลี่ยนแปลงตนเอง ในช่วงปี 1970 นั้น โรเล็กซ์ผลิตนาฬิการะบบคว็อตซ์เพียงไม่เกิน 7 เปอร์เซ็นต์ และลดลงเหลือเพียงไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน
ปี 1992 ปาทริค ไฮนีเกอร์ บุตรชายของอังเดร ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแทนบิดาของเขา แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือทัศนคติเชิงบวกและพลังสร้างสรรอย่างเหลือล้น ซึ่งทำให้โรเล็กซ์คงความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
Montres Rolex SA. หรือบริษัทโรเล็กซ์ ยังคงเป็นดินแดนลึกลับและเป็น คนนอกของเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ ผู้บริหารระดับสูงของโรเล็กซ์แทบจะไม่เคยให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน ปรัชญาของพวกเขาคือ “ให้นาฬิกาพูดด้วยตัวของมันเอง” แม้ผู้สวมใส่จะไม่เคยเห็นกลไกภายใน แต่สำหรับโรเล็กซ์ที่เจนีวา ช่างฝีมือในชุดขาวแบบห้องแล็บออกแบบตามหลักพลศาสตร์กันอย่างขมักเขม้น ทุกชิ้นส่วนต้องได้มาตรฐานในทุกมิติ มุมตัดจะต้องถูกขัดให้มนจนเป็นประกายเงางาม สิ่งเหล่านี้แทบจะไม่มีคุณค่าเลยเพราะลูกค้าไม่สามารถมองเห็นแต่ สำหรับโรเล็กซ์นี่คือมาตรฐานและคุณภาพ
โรเล็กซ์ผลิตเครื่องภายใน (Movement) ด้วยตัวเองซึ่งไม่เหมือนกับแบรนด์ดังอื่น ๆ ที่อาจใช้ของกันและกันได้ ที่โรเล็กซ์ช่างฝีมือกว่า200 คนรวมทั้งช่างเทคนิคจะต้องช่วยกันผลิตนาฬิกาแต่ละเรือนตามมาตรฐานเพื่อให้ได้ตราประทับของโรเล็กซ์ ” มัน(จำเป็นต้องมีคุณภาพ) มากกว่าที่คนทั่วไปต้องการมาก มันจึงเป็น Mercedes Benz ของนาฬิกาข้อมือ มันมากกว่าความเป็นวิศวกรรม และมันไม่ใช่เพื่อเงินแต่มันเป็นวิถีของโรเล็กซ์”
ก่อนส่งออกจากเจนีวา โรเล็กซ์ทุกเรือนจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพหลายครั้ง เช่น หน้าปัด ขอบหน้าปัด ปุ่มกดต่าง ๆ จะถูกตรวจซ้ำ ๆ เพื่อหารอยขีดข่วน การตรวจระยะห่างและแนวขนานต่าง ๆ ของกลไกและเข็มที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า การตรวจสอบระบบกันน้ำให้ได้อย่างน้อย 330 ฟุต หรือแม้แต่การปรับช่วงความคลาดเคลื่อนของเวลาที่จะมีขึ้น 2 วินาทีในทุก ๆ 100 ปี เหล่านี้คือมาตรฐานก่อนประทับตรา Rolex ซึ่งทำให้ในแต่ละปี จะผลิตเพียงประมาณ 650,000 เรือนเท่านั้น จำนวนนี้อาจดูเหมือนมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านี่ยังน้อยกว่าความต้องการของตลาดมากนัก แต่นั่นแหละคือสิ่งที่อังเดร ไฮนีเกอร์กล่าวไว้ “เราไม่ได้ต้องการที่จะใหญ่ที่สุด แต่หากเป็นหนึ่งในผู้ที่ “ดีที่สุด” ในอุตสาหกรรม”